แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่ทำประตูจากลูกตั้งเตะได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ แซงหน้าเจ้าพ่อลูกนิ่งอย่าง อาร์เซนอล ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนัดล่าสุดในวันบ็อกซิ่งเดย์ พวกเขาเพิ่งเปิดบ้านเอาชนะ นิวคาสเซิล ไปได้ 1-0 จากจังหวะลูกตั้งเตะเช่นกัน
ในเกมดังกล่าว รูเบน อโมริม สร้างความประหลาดใจด้วยการเปลี่ยนแท็กติกครั้งใหญ่ โดยตัดสินใจทิ้งระบบ 3-4-3 ที่ถนัด แล้วหันมาใช้ระบบ 4-2-3-1 เป็นครั้งแรก ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือชัยชนะที่เฉือนไปแบบหวุดหวิดเหนือทัพสาลิกาดงที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ประตูชัยเพียงหนึ่งเดียวในนัดนี้มาจาก แพทริค ดอร์กู ดาวรุ่งชาวเดนมาร์กที่ถูกขยับขึ้นไปเล่นเป็นปีกขวา โดยเจ้าตัววอลเลย์เข้าไปอย่างสวยงามในช่วงครึ่งแรก ซึ่งจุดเริ่มต้นของประตูนี้มาจากจังหวะการทุ่มไกลอันเป็นหนึ่งในรูปแบบลูกตั้งเตะที่ทีมซ้อมมา
ประตูของดอร์กูทำให้ยอดรวมประตูจากลูกตั้งเตะ (ไม่รวมจุดโทษ) ของปีศาจแดงพุ่งขึ้นไปถึง 13 ประตูในฤดูกาลนี้ ครองอันดับหนึ่งของลีก แซงหน้าลีดส์ ยูไนเต็ด และอาร์เซนอล ที่ทำไปได้ 11 ประตูเท่ากัน โดยมีเชลซีตามมาที่ 10 ประตู
สถิตินี้ถือเป็นการท้าทายอาร์เซนอลโดยตรง เพราะทีมปืนใหญ่มีชื่อเสียงเรื่องความอันตรายจากลูกนิ่งภายใต้การดูแลของโค้ช นิโกลาส์ โฌแวร์ มาโดยตลอด โดยเฉพาะจังหวะการเปิดบอลของ ดีแคลน ไรซ์ และ บูกาโย่ ซาก้า รวมถึงความอันตรายในกรอบเขตโทษของ กาเบรียล มากัลเญส
หนึ่งในตัวอันตรายที่สุดของยูไนเต็ดในจังหวะลูกเตะมุมคือ คาเซมิโร่ ที่ทำไปแล้วถึง 4 ประตูจากลูกตั้งเตะในฤดูกาลนี้ อย่างไรก็ตาม ในเกมนัดล่าสุดเขาถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่นาทีที่ 60 ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับตัวนักเตะเองที่แสดงสีหน้าไม่เข้าใจขณะเดินออกจากสนาม
ในช่วงท้ายเกม อโมริม เปลี่ยนมาใช้แท็กติกเน้นรับเต็มตัวจนแทบจะกลายเป็นระบบกองหลัง 6 คน เพื่อรักษาสกอร์ที่นำอยู่ นอกจากนี้เขายังสร้างความประหลาดใจให้ แกรี่ เนวิลล์ ด้วยการถอดกองหลังประสบการณ์สูงอย่าง ลุค ชอว์ และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ออกแล้วส่งดาวรุ่งลงไปแทนจนจบเกม
หลังจบการแข่งขัน อโมริม ให้สัมภาษณ์ว่าการเปลี่ยนมาใช้หลังสี่ในตอนแรกเป็นวิธีที่เขาเชื่อว่าจะช่วยสร้างโอกาสทำประตูได้มากขึ้น ส่วนการขยับ ดอร์กู ขึ้นไปเล่นตำแหน่งรุกก็เพื่อให้เขามีอิสระในการเล่นและกดดันคู่แข่งได้ดีขึ้น โดยแมนฯ ยูไนเต็ด มีคิวจะลงสนามต่อเนื่องพบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในวันอังคารนี้