ประวัติส่วนตัว รุด ฟาน นิสเตลรอย

ประวัติส่วนตัว รุด ฟาน นิสเตลรอย

       รุด ฟาน นิสเตลรอย ยอดดาวยิงในยุค Noughties  (2000-2009) มาเปรี้ยงปร้างสุดขีดตอนอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 5 ปี ที่เขามีสถิติถล่มประตูที่น่าทึ่ง เป็นเจ้าของสถิติดาวยิงสูงสุดอันดับ 3 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (ทำได้ 56 ประตู) ดาวซัลโวยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 ครั้ง และเป็นดาวซัลโวลีกยุโรป 3 ลีก ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีเซอร์ แม็ต บัสบี้ 2 ครั้ง

       ฟาน นิสเตลรอย เริ่มต้นอาชีพกับเดนบอสช์ ก่อนจะย้ายไปฮีเรนวีน และมาสร้างชื่อที่พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ที่ที่เขาได้แชมป์ลีกสองสมัย สถิติการพังประตูของเขาที่ฮีเรนวีน เข้าตาแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำท่าว่าจะได้ตัวเขาไปในปี 2000 ทว่าการบาดเจ็บทำให้การย้ายทีมมาสำเร็จลุล่วงในปีถัดมา ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ที่เป็นสถิติของพรีเมียร์ ลีก ตอนนั้น ที่แมนฯ ยูไนเต็ด ฟาน นิสเตลรอย ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่ช่วงหลังหลุดไปเป็นตัวสำรองบ่อย ก่อนจะย้ายไปเรอัล มาดริดในปี 2006 และฮัมบวร์กในเวลาต่อมา ปัจจุบันฟาน นิสเตลรอย ในวัย 37 ปีเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพตั้งแต่ปี 2012

       กองหน้าชาวดัตช์ เกิดเมื่อวันวันที่ 1 กรกฎาคม 1976 ที่เมืองออสส์, เนเธอร์แลนด์ เป็นนักฟุตบอลอาชีพตอนอายุ 17 และอยู่กับเดนบอสช์ เป็นเวลา 4 ปี เป็นที่ที่เขาเปลี่ยนจากเซ็นเตอร์ฮาล์ฟมาเป็นกองหน้า

       ปี 1997 ฟาน นิสเตลรอย ย้ายจากเดน บอสช์ มาอยู่กับเอสซี ฮีเรนวีน อยู่ได้ปีเดียวก็ย้ายมาอยู่กับพีเอสวี ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติของเนเธอร์แลนด์ในขณะนั้น

       ช่วงที่เล่นให้พีเอสวีนี่เองที่ฟอร์มของเขาเข้าตาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านทางดาร์เรน ลูกชายของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เห็นฝีเท้าของฟาน โกล และแนะนำพ่อให้คว้าตัวฟาน นิสเตลรอยไปร่วมทีม

       ฟาน นิสเตลรอย กำลังจะเซ็นสัญญาให้ยูไนเต็ดในซัมเมอร์ปี 2000 แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย หลังจากนั้นไม่นานเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอาการสาหัส ระหว่างการซ้อม ทำให้การย้ายทีมต้องเลื่อนออกไป อย่างไรก็ตามปีถัดมาฟาน นิสเตลรอย ผ่านการตรวจร่างกาย และเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์

ช่วงต้นของอาชีพ

        ฟาน นิสเตลรอยเกิดที่ออสส์, นอร์ธ บราบานท์ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพปี 1993 กับเดน บอสช์ ทีมในดิวิชั่นสอง ที่ที่เขาเปลี่ยนจากการเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟมาเป็นกองหน้า หลังจากที่เล่นแบบพาร์ทไทม์ให้ทีมอย่างนุยท์ เกดัชท์ และมาร์กรีท หลังยิง 12 ประตูใน 31 ซีซั่น 1996-97 ฟาน นิสเตลรอยย้ายไปอยู่กับฮีเรนวี ค่าตัว 360,000 ยูโรในปีถัดมา และยิง 13 ประตูใน 31 นัดฤดูเดียวที่เขาเล่นให้ฮีเรนวีน ฤดูกาลถัดมาย้ายไปพีเอสวีด้วยค่าตัว 6.3 ล้านยูโร ที่เป็นสถิติค่าตัวการย้ายของสองสโมสรในตอนนั้น

        ฟาน นิสเตลรอย ยิง 31 ประตูใน 34 นัด เป็นสถิติของลีกดัตช์ และดีที่สุดเป็นอันดับสองของลีกยุโรปในตอนนั้น ขณะที่ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฟาน นิสเตลรอย เหมาคนเดียว 3 ประตูให้พีเอสวี ในเกมกับเฮลซิงกิ วันที่ 25 พฤศจิกายน 1998 ปีนี้เองที่ฟาน โกล ได้ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเนเธอร์แลนด์ ฤดูกาลถัดมาได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกฮอลแลนด์เป็นปีที่สองติดต่อกัน จากผลงานการยิง 29 ประตู ช่วงหนึ่งของการให้ เดอะ เทเลกราฟ สัมภาษณ์ปี 2001 เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนฯ ยูไนเต็ดเล่าว่าดาร์เรน ลูกชายที่ย้ายไปเล่นในฮอลแลนด์กับฮีเรนวีน ทีมในพรีเมียร์ดัตช์เวลานั้น ขอบิดาว่า "ตัวนี้สุดยอดเลยพ่อ พ่อซื้อเดี๋ยวนี้เลย เราจับตาดูเขามานานแล้ว" เฟอร์กูสันส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้บริหารของพีเอสวีในเกมลีกนัดถัดมา และเซ็นสัญญาคว้าตัวฟาน นิสเตลรอยวันถัดมา

        ฟาน นิสเตลรอย ทำท่าว่าบรรลุข้อตกลงย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 18.5 ล้านปอนด์ในปี 2000 มีการเตรียมการแถลงข่าวเพื่อที่จะยืนยันการย้ายทีมคราวนี้ แต่ถึงเวลาจริงๆ แมนฯ ยูไนเต็ดประกาศว่าการย้ายคราวนี้ต้องเลื่อนไปเนื่องจากสภาพความฟิตของเขา ไม่กี่วันถัดมาฟาน นิสเตลรอย เอ็นหัวเข่าขาดระหว่างการฝึกซ้อม และข้อตกลงถูกยกเลิกไป มาปี 2001 ที่การย้ายทีมลุล่วง ยูไนเต็ดถูกสั่งให้จ่ายเพิ่มอีก 5 แสนปอนด์เป็นค่าตัวของนักเตะ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างยูโร และปอนด์สเตอร์ลิงที่เปลี่ยนแปลง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

        ฟาน นิสเตลรอย เซ็นสัญญา 5 ปีหลังผ่านการตรวจร่างกาย และพูดถึงค่าตัวในการย้าย "เรื่องค่าตัวผมไม่หนักใจเลย กลับทำให้ผมมีกำลังใจมากกว่า เพราะนี่หมายความว่าแมนฯ ยูไนเต็ดเชื่อใจผมมาก" ช่วงปีแรกฟาน นิสเตลรอย ยิง 23 ประตูใน 32 นัดในลีก ฟาน โกล ทำลายสถิติที่เขาแชร์กับมาร์ค สตีน, อลัน เชียเรอร์ และเธียร์รี่ อองรี โดยการยิงประตูในลีก 8 นัดติดต่อกัน ในแชมเปี้ยนส์ ลีก ทำได้อีก 10 ประตู และเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของพีเอฟเอ

        ฤดูกาลต่อมา ฟาน นิสเตลรอย เป็นดาวยิงสูงสุดของพรีเมียร์ ลีกจากผลงาน 25 ประตูใน 34 นัด รวมแฮตทริกที่เขาทำได้ 3 ครั้ง และปิดซีซั่นด้วยการยิง 8 นัดติดต่อกันได้อีกครั้ง ฟาน นิสเตลรอย เริ่มฤดูกาล 2003-04 ด้วยการยิง 2 ประตูในเกมลีกสองนัดแรก ที่ทำให้เขาทำสถิติยิงได้ 10 เกมติดต่อกันในลีก ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูที่ 100 ให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้ในนัดเอาชนะเอฟเวอร์ตันวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2004 เขาทำคนเดียวสองประตู (ลูกโทษ 1) ให้แมนฯ ยูไนเต็ดชนะมิลล์วอลล์ และได้แชมป์เอฟเอ คัพปี 2004 มาครอง

        ฤดูกาล 2004-05 ฟาน นิสเตลรอย พลาดลงสนามเป้นส่วนใหญ่ เนื่องจากการบาดเจ็บ แต่ก็ยังทำได้ 8 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก หนึ่งในนี้คือประตูที่ 30 ในฟุตบอลถ้วยยุโรป ที่เขาเป็นคนยิงให้แมนฯ ยูไนเต็ดเสมอลียง 2-2 ในรอบแบ่งกลุ่มวันที่ 16 กันยายน 2004ที่ทำให้เขาทำลายสถิติสโมสรที่เดนิส ลอว์ทำไว้ 28 ประตู  แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกมิลาน ที่ปีนั้นเข้าไปชิงเขี่ยตกรอบน็อคเอาท์ หลังจากที่ยิงประตูไม่ได้ทั้งสองเลก

        เริ่มฤดูกาล 2005-06 ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูได้ใน 4 เกมแรกให้ยูไนเต็ด เขาจบซีซั่นด้วยการเป็นดาวยิงสูงสุดอันดับสอง ทำได้ 21 ประตูตามหลังเธียร์รี่ อองรี ของอาร์เซนอล จบปีที่ห้ากับยูไนเต็ด ฟาน นิสเตลรอย ทำ 150 ประตูจากการลงตัวจริงไม่ถึง 200 นัด

        ฟาน นิสเตลรอย โดนจับนั่งเป็นตัวสำรองในเกมลีก คัพนัดชิงชนะเลิศกับวีแกน ทำให้เกิดกระแสข่าวลือความขัดแย้งระหว่างเขากับอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ฟาน โกล ออกมาปฏิเสธ กระนั้นดาวยิงชาวดัตช์โดนจับนั่งสำรองในเกมลีก 6 นัดติด และถึงจะกลับมาลงัวจริง และเป็นคนยิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และโบลตัน ฟาน นิสเตลรอย ตกเป็นข่าวลืออีกหลังจากที่โดนจับนั่งในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่ที่แมนฯ ยูไนเต็ดชนะชาร์ลตัน เฟอร์กูสัน กล่าวว่าฟาน นิสเตลรอยไม่พอใจการตัดสินใจดังกล่าว และไปจากสนามก่อนแข่ง 3 ชั่วโมง วันที่ 9 พฤษภาคม 2006 เซตานต้า สปอร์ตส รายงานว่าฟาน นิสเตลรอย โดนตัดออกจากทีมเนื่องจากมีเรื่องทะเลาะกับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ระหว่างการซ้อม ที่ต่อมาฟาน นิสเตลรอย ออกมาตำหนิโรนัลโด้หวงบอล แทนที่จะผ่านให้เพื่อน เป็นเหตุให้ทั้งสองทะเลาะกัน

        ฟาน นิสเตลรอยเซ็นสัญญาย้ายไปเรอัล มาดริดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 5 ปีหลังจากที่อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ดที่เขาทำได้ 150 ประตูจากการลงเล่น 220 นัด และ 38 ประตูที่ทำให้เขาเป็นดาวยิงสูงสุดในถ้วยยุโรปของแมนฯ ยูไนเต็ด

เรอัล มาดริด

        15 กรกฎาคม 2006 เฟอร์กูสัน ยืนยันฟาน นิสเตลรอย ต้องการย้ายทีม และเรอัล มาดริดประกาศอีก 2 สัปดาห์ต่อมาว่าเขาเซ็นสัญญา 3 ปีหลังจากที่ถูกขายด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร

        ฟาน นิสเตลรอยทำแฮตทริกในเกมลีกนัดที่สองของเขาที่เรอัล มาดริดพบเลบานเต้ และ 12 พฤศจิกายน 2006 ฟาน นิสเตลรอย เหมาคนเดียว 4 ประตูช่วยให้ทีมเอาชนะโอซาซูน่า 4-1 จบซีซั่นได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดของลา ลีกา ทำได้ 25 ประตู นอกจากนั้นยังได้แชมป์ลา ลีกา 2006-07 และเป็นเจ้าของสถิติยิงได้ 7 นัดติดต่อกันในลีก เป็นสถิติของลา ลีกา ร่วมกับฮูโก้ ซานเชซ

        มกราคม 2008 ฟาน นิสเตลรอย ต่อสัญญาที่จะทำให้เขาอยู่กับเรอัล มาดริดถึงปี 2010 หรือ 1 วันก่อนอายุ 34 ปีเต็ม เขาเข้ารับการผ่าตัดที่ข้อเท้าในเดือนมีนาคม และกลับมาลงสนามทำศึกเอล กลาสิโก้ พบกับบาร์เซโลน่าวันที่ 7 พฤษภาคม ที่นัดนี้เขายิงลูกโทษให้ทีมได้ หลังจากที่เปลี่ยนตัวลงมาได้ 2 นาที จบซีซั่นรุดทำได้ 20 ประตูจากการลงเล่น 33 นัด

        พฤศจิกายน 2008 เรอัล มาดริด ประกาศว่าฟาน นิสเตลรอย หมดสิทธิ์ลงเล่นจนจบฤดูกาล 2008-09 เนื่องจากการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกหัวเข่าขวาฉีก เวลารักษาเบื้องต้นขาดไว้ที่ 6-9 เดือนหลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดครั้งที่สองเพื่อการฟื้นฟู ฟาน นิสเตลรอย เดินทางไปสหรัฐ เพื่อพบริชาร์ สตีดแมน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนเดียวกับที่ทำการผ่าตัดหัวเข่าเขาเมื่อปี 2000 ช่วงที่มีปัญหาการบาดเจ็บ ฟาน นิสเตลรอยทำ 10 ประตูจากการเล่นให้เรอัล มาดริด 12 นัด

        หลังการบาดเจ็บดังกล่าวเรอัล มาดริดถอดเขาออกจากทีมตลอดซีซั่น 2008-09 และเบอร์เสื้อของเขาเป็นของดานี่ ปาเรโฆ วันที่ 24 สิงหาคม 2009 ในช่วงการฝึกซ้อมปรีซีซั่นก่อนจะเริ่มฤดูกาลลา ลีกา ฟาน นิสเตลรอย ลงสนามเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เจ็บครั้งนี้ และลงเล่นช่วง 15 นาทีสุดท้ายในเกมกับโรเซนบอร์ก ที่เขาเปลี่ยนตัวลงไปแทนกาก้า มานัดแรกของลา ลีกา รุด ลงไปแทนคริสเตียโน่ โรนัลโด้ นาที 80 เกมที่เรอัล มาดริดพบเฆเรส เป็นเกมลา ลีกา เกมแรกของเขานับตั้งแต่หายเจ็บกลับมา นาที 81 ฟาน นิสเตลรอย จ่ายให้เบนเซม่า พังประตู ก่อนจะยิงประตูได้เองในนาที 88 อย่างไรก็ตามจังหวะยิงนี้เองที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่ต้นขา และพัก 6 สัปดาห์ 27 ตุลาคม ฟาน นิสเตลรอย คัมแบ็กจากการบาดเจ็บลงไปแทนราอูลในนาที 71 นัดเรอัล มาดริดพบอัลกอร์กอน ในโคปา เดล เรย์

ฮัมบูร์ก

        23 มกราคม 2010 ฟาน นิสเตลรอยเซ็นสัญญา 18 เดือนกับฮัมบวร์กถึงมิถุนายน 2011 เขาลงเล่นนัดแรกให้ทีมในฐานะตัวสำรอง สองนาทีสุดท้ายที่ฮัมบวร์กเสมอโคโลญจน์ 3-3 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ และมายิงประตูแรกให้ฮัมบวร์กได้ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2010 นัดดวลกับสตุ๊ตการ์ตที่เกมนี้เขาทำได้ 2 ประตู (นาที 75 และ 77) ช่วยให้ฮัมบวร์กชนะ 3-1 ในบอลถ้วยยุโรป ฟาน นิสเตลรอยยิงลูกแรกในถ้วยนี้ให้ฮัมบวร์ก ในนัดพบกับอันเดอร์เลคท์ วันที่ 11 มีนาคม 2010

        15 สิงหาคม 2010 ฟาน นิสเตลรอย ยิงแฮตทริกแรก และแฮตทริกเดียวที่ฮัมบวร์ก (เฉพาะเกมทางการ) ช่วยให้ทีมเอาชนะทอร์เกโลเวอร์ เอสวี กรีฟ ในศึกเดเอฟเบ โพคาล รอบแรก วันที่ 21 สิงหาคม 2010 ทำ 2 ประตูนัดเปิดสนามบุนเดสลีกา ช่วยให้ฮัมบวร์กชนะชาลเก้ 2-1 เกมนี้ฟาน นิสเตลรอย ได้เจอกับราอูล เพื่อนเก่าที่เรอัล มาดริด ที่ลงเล่นนัดแรกให้ชาลเก้

        ช่วงตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคม ฟาน นิสเตลรอย มีข่าวย้ายกลับเรอัล มาดริด และจะถูกใช้งานช่วงสั้นๆ ในฐานะตัวแทนของกอนซาโล่ อิกวาอิน และคาริม เบนเซม่า ที่เจ็บ ขณะที่โจเซ่ มูรินโญ่ กุนซือเรอัล มาดริด ตอนนั้นต้องการได้รุดเช่นกัน ด้านฟาน นิสเตลรอย ยอมรับว่าสนใจกลับเรอัล มาดริดเช่นกันหากทีมชุดขาวยื่นข้อเสนอมาจริง อย่างไรก็ตามฮัมบวร์กปฏิเสธข้อเสนอของเรอัล มาดริดเพื่อตัวฟาน นิสเตลรอย

        แม้จะไม่พอใจที่ไม่ได้กลับเรอัล มาดริด ฟาน นิสเตลรอย กล่าวว่าตั้งใจทำให้ดีที่สุดที่ฮัมบวร์กต่อไป กระทั่งระหว่างเกมฮัมบวร์ก-ฮันโนเวอร์วันที่ 16 เมษายน 2011 ฟาน นิสเตลรอยได้รับบาดเจ็บที่น่องที่ทำให้เขาพักจนจบฤดูกาล

        ช่วง 1 ซีซั่นเต็มๆ ที่เล่นให้ฮัมบวร์ก ฟาน นิสเตลรอยทำ 7 ประตู และ 2 แอสซิสต์จากการเล่น 25 นัด

มาลาก้า
       
        1 ฟาน นิสเตลรอย ย้ายมาอยู่กับมาลาก้า แบบไม่มีค่าตัว และเซ็นสัญญา 1 ปี หลังเซ็นสัญญาย้ายมาอยู่กับทีม ฟาน นิสเตลรอย เปิดตัวที่สนามลา โรซาเลด้า สเตเดี้ยม ที่มีแฟนบอลมาลาก้า 15,000 คนต้อนรับ เขาลงเล่นนัดแรกให้ทีมนัดเปิดซีซั่นที่มาลาก้าแพ้เซบีย่า 1-2

       1 ตุลาคม 2011 ขณะดวลเกือกกับเกตาเฟ่ ฟาน นิสเตลรอยยิงประตูแรกให้มาลาก้า วันที่ 21 ธันวาคม เกมกับเกตาเฟ่เช่นกัน ฟาน นิสเตลรอยยิงอีกประตูให้มาลาก้าชนะไปด้วยสกอร์รวม 3-2 ช่วงปลายซีซั่น ฟาน นิสเตลรอยทำอีก 2 ประตูในลีกนัดพบกับเอสปันญ่อล และราซิ่ง ซาน ตานเดร ที่เป็นประตูสุดท้ายของเขาในอาชีพ 1 วันก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ด ฟาน นิสเตลรอย ลงเล่นนัดสุดท้ายในอาชีพในฐานะตัวสำรอง แทนโฆเซ่ ซาโลมอน ลอนดอน ผู้ทำประตูโทนให้ทีมชนะสปอร์ติ้ง กิฆอน

       14 พฤษภาคม 2012 ฟาน นิสเตลรอย ประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัย 35 ปี เขากล่าวกับ Sport1 ว่าเขาเคยพูดเป็นนัยหลายครั้งช่วงปลายซีซั่นว่าจะเลิกเล่น เมื่อออกมายืนยันว่ามาลาก้าจะเป็นสโมสรสุดท้าย

ทีมชาติฮอลแลนด์

       ฟาน นิสเตลรอย ลงเล่น 70 นัดและทำ 35 ประตูให้ทีมกังหันสีส้ม นัดแรกของเขาคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติเยอรมันวันที่ 18 พฤศจิกายน 1998 อย่างไรก็ตามการบาดเจ็บที่เอ็นหัวเข่าทำให้เขาไม่ได้ไปยูโร 2000

       ด้วยเหตุที่ฮอลแลนด์ไม่ได้ไปฟุตบอลโลก 2002 ฟาน นิสเตลรอย ไม่ได้เล่นทัวร์นาเมนท์ใหญ่กระทั่งยูโร 2004 ที่เขา และมิลาน บารอส กองหน้าเช็ก เป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้ในรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2006 ฟาน นิสเตลรอย ติดทีมชาติฮอลแลนด์ ที่มีมาร์โก แวน บาสเท่น เป็นโค้ช ในรอบแรกฟาน นิสเตลรอย ได้ลงตัวจริงทุกนัด และถูกเปลี่ยนออกทุกเกม ที่เขายิงได้ 1 ประตูในเกมกับไอวอรี่ โคสต์ นัดถัดมาเขาโดนดร็อปเป็นตัวสำรองโดยไม่มีคำอธิบายจากฟาน บาสเท่น และเนเธอร์แลนด์แพ้โปรตุเกส และตกรอบ

       23 มกราคม 2007 ฟาน นิสเตลรอย ประกาศเลิกเล่นทีมชาติหลังจากที่มีปัญหาระหองระแหงกับแวน บาสเท่น ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2006 ก่อนที่เอ๊ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ จะเป็นกาวใจให้ทั้งสองคืนดีกัน 4 เดือนต่อมา แวน บาสเท่น เรียกฟาน นิสเตลรอย กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง วันที่ 8 กันยายน ฟาน นิสเตลรอย ยิงประตูให้เนเธอร์แลนด์ชนะบัลแกเรีย 2-0 ในรอบคัดเลือก และยิงประตูชัย 4 วันต่อมาช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้ทีมเอาชนะแอลเบเนีย

       ในยูโร 2008 รอบสุดท้าย ฟาน นิสเตลรอย ยิงประตูให้เนเธอร์แลนด์เอาชนะอิตาลีอย่างสวยงาม 3-0 ในรอบแบ่งกลุ่ม และเป็นคนยิงประตูตีเสมอในนัดที่เนเธอร์แลนด์แพ้รัสเซียในรอบก่อนรองชนะเลิศ มาวันที่ 4 สิงหาคม เขาประกาศเลิกเล่นทีมชาติอีกครั้ง

      ช่วงเตรียมตัวไปฟุตบอลโลก 2010 ฟาน นิสเตลรอย เตรียมร่างกายจนพร้อมไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่เขาถูกโรเบิร์ต ฟาน มาร์ไวจ์ ตัดออกจากทีม หลังจากที่หลุดทีมไป ฟาน นิสเตลรอย กล่าวว่าเขากับทีมชาติจบแล้ว

      หลังจากที่โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้าตัวหลักได้รับบาดเจ็บ ฟาน มาร์ไวจ์ ให้โอกาสฟาน นิสเตลรอย ที่จะกลับมาเป็นกองหน้าตัวหลักของเนเธอร์แลนด์อีกครั้ง เขาถูกเลือกให้เล่นรอบคัดเลือกศึกฟุตบอลยูโร 2012 สองนัด และทำประตูได้ในนัดที่เนเธอร์แลนด์ต้อนซาน มาริโน่ 5-0 วันที่ 3 กันยายน 2010

      ฟาน นิสเตลรอยถูกเรียกตัวอีกในเดือนมีนาคม 2011 ทำศึกรอบคัดเลือกยูโร 2012 กับฮังการี หลังจากที่กองหน้าตัวหลักอย่างคลาส แยน ฮุนเตลาร์, อาร์เยน ร็อบเบน และธีโอ แยนส์เซ่น ได้รับบาดเจ็บ วันที่ 25 กันยายนนัดที่ฮอลแลนด์เยือนฮังการี ฟาน นิสเตลรอยลงไปแทนเดิร์ค เคาท์ช่วงท้าย ขณะที่นัดเหย้าเจอกับฮังการีเช่นกัน 4 วันถัดมา ฟาน นิสเตลรอย เปลี่ยนตัวลงมายิงประตูที่ 35 ในนามทีมชาติ

Last Update : 2015-07-13